โทรทัศน์ : ช่อง 3 - ช่อง 5- ช่อง 7 - ช่อง 9 - ช่อง 11 - ไอทีว - ยูบีซี  

 ส่งเพจ :  142  ,  152,   1188 ,   1500  ,   GSM900  ,  DTAC  ,  162  ,  1144  , PPA  ,  Sabye

กลับหน้าแรก ดีกว่า

       โรคที่เกิดจากบุหรี่มีหลายชนิด ผมขอยกตัวอย่าง

                        โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังและถุงลมโป่งพอง   

 โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง  หมายถึง โรคที่มีอาการไอมีเสมหะเรื้อรัง เป็นๆหายๆ อย่างน้อย 3 เดือน ต่อปีเป็นระยะ 2 ปี ติดต่อกันโดยไม่มีโรคปอดชนิดอื่นอยู่

            โรคถุงลมโป่งพอง  หมายถึง โรคที่มีการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสภาพที่ถุงลมโดยมีการโป่งพองร่วมกับการถูกทำลายของผนังถุงลม

            ในปัจจุบันจึงนิยมเรียกเป็นชื่อรวมของโรคทั้งสองนี้ว่าเป็น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง

สถิติของโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และถุงลมโป่งพอง 

            ตามสถิติของกระทรวงสาธารณสุขเมื่อปี 2521  โรคปอดที่พบบ่อยที่สุด  คือ

วัณโรคปอด   ซึ่งติดอันดับที่ 5 ของอัตราการตายด้วยสาเหตุสำคัญ 10 อย่าง    ส่วนโรค

หลอดลมอักเสบเรื้อรังและถุงลมโป่งพองนั้น  แม้ว่าจะ ไม่ติด 10  อย่างดังกล่าวเลยแต่แนวโน้มว่า น่าจะมีผู้ป่วยด้วยโรคนี้เป็นจำนวนมาก ไม่แพ้ วัณโรคปอด

            สาเหตุของโรคนี้เชื่อว่าเกิดจากหลายอยากด้วยกัน  ที่สำคัญคือ

1.      การสูบบุหรี่  ในส่วนใหญ่ของผู้ป่วย โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง  มีประวัติสูบบุหรี่

อย่างน้อยวันละ 1 ซอง เป็นเวลา 10-20 ปี 

2.      อากาศเป็นพิษ    การสูดหายใจอากาศที่มีควัน    อากาศเสียจากโรงงาน

อุตสากรรมเป็นเวลานานๆอาจทำให้เกิดโรคนี้ได้เช่นเดียวกับคนที่สูบบุหรี่คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเป็นโรคนี้มากกว่า คนที่อาศัยอยู่ชนบท

            3.  อายุ  เมื่อมีอายุมากขึ้นก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้มากขึ้น เนื่องจากเนื้อปอดเสื่อมสภาพ ได้ตามอายุที่สูงเพิ่มขึ้น

 พยาธิสภาพและอาการแสดง

            เมื่อมนุษย์หายใจเอาพิษจากควันบุหรี่ หรือ อากาศเป็นพิษเข้าไปในปอดนานเข้าจะทำให้เกิด    การอักเสบของหลอดลมทั้งเล็ก และใหญ่ อย่างเรื้อรังทำให้ผนังหลอดลมหนาขึ้น รูของหลอดลมเล็กแคบลง  ต่อมเมือกที่ผนังของหลอดลมจะขับเสมหะเข้ามาในหลอดลมมากขึ้น ทำให้เกิดการอุดกั้นในหลอดลม จึงทำให้หายใจไม่สะดวก  เหนื่อยง่าย  และมีเสมหะเรื้อรังเริ่มแรกผู้ป่วยอาจยังไม่มีอาการอะไรเลย เมื่อเวลาผ่านไปจนพยาธิสภาพของโรคมีมากขึ้พอสมควรแล้วจึงเกิดมีอาการขึ้น   อาการสำคัญที่พบบ่อยเมื่อผู้ป่วยโรคนี้มาหาแพทย์  คือ ไอเรื้อรัง  เหนื่อยง่าย  และหายใจมีเสียงวิ๊ดๆ เมื่อมีอาการแล้ว  โรคนี้จะเป็นชนิดเรื้อรัง และมีอาการเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ  

ในปัจจุบันไม่มีทางที่แพทย์จะรักษาให้หายขาดได้    ผู้ป่วยจะเหนื่อยง่ายมากขึ้น  และ สมรรถภาพปอด จะเลวลงตามลำดับ  ระยะสุดท้ายจะมีภาวะ การหายใจล้มเหลว      ก่อนที่จะถึงระยะ สุดท้ายที่มีพยาธิสภาพ

ของปอดมากจริงๆ นี้  คือแค่ระยะที่มีพยาธิสภาพของปอดปานกลาง  ผู้ป่วยก็อาจจะ

มีอาการมากขึ้นอย่างมากจากเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด

ข้อควรปฏิบัติและควรรู้เกี่ยวกับโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง

ก.ในคนที่ไม่สูบบุหรี่  จากการศึกษาของแพทย์พบว่า  อัตราการตายของโรค

โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังในผู้ที่สูบบุหรี่มีมากกว่าในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 20 เท่า  ดังนั้นวิธี

ที่ดีที่สุดคือการป้องกันโดยไม่หัดหรือลองสูบบุหรี่

            ข. ในคนที่สูบบุหรี่  จากการศึกษาของแพทย์พบว่าเริ่มมีพยาธิสภาพเกิดขึ้นในหลอดลมเล็กๆ  ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง น้อยกว่า 2 ม.ม. ก่อน  และเป็นเพิ่มมากขึ้น

ตามลำดับ     ดังนั้น การเลิกสูบบุหรี่จึงควรปฏิบัติอย่างยิ่ง

            ค. ในผู้ป่วยที่มีอาการเกิดขึ้นแล้ว  ควรรีบปรึกษาแพทย์  ซึ่งแพทย์อาจวินิจฉัยโรค

นี้ได้ถูกต้องจากประวัติอาการ     การตรวจร่างกาย   ภาพรังสีทรวงอก  และจากการตรวจสมรรถภาพปอด    หลักในการรักษาโรคในระยะนี้ของแพทย์   คือ

            (1) แนะนำให้เลิกสูบบุหรี่ ถ้าผู้ป่วยสูบบุหรี่   ถ้าผู้ป่วยเลิกสูบบุหรี่ได้   อาการของโรคนี้ก็จะลดน้อยลงบ้าง

            (2) ทานยาขยายหลอดลม  ผู้ป่วยโรคนี้ควรทานยาขยายหลอดลมตามแพทย์แนะนำตลอดไป  เพื่อช่วยให้มีอาการเหนื่อยน้อยลง  ยาขยายหลอดลมมีหลายชนิดอาจต้องทานหลายอย่างตามความจำเป็น   บางอย่างมีปฏิกิริยาข้างเคียงมาก  บางอย่างมีน้อย  ดังนั้นควรทานยาเฉพาะตามที่แพทย์แนะนำ  ไม่ควรซื้อยาทานเอง  เพราะอาจ

เป็นอันตรายได้

            (3) เมื่อผู้ป่วยมีอาการกำเริบคือหอบเหนื่อยมากขึ้น ไอและมีเสมหะมากขึ้นกว่าธรรมดา  เสมหะเปลี่ยนจากสีขาว เป็นสี เหลืองหรือ สีเขียว แสดงว่ามีโรคแทรกดังกล่าวในข้างต้น  ควรทานยาปฏิชีวนะ ตามที่แพทย์สั่ง เพิ่มขึ้นด้วยประมาณ 7-10วันถ้าระหว่างที่ทานยานี้อาการไม่ดีขึ้นควรรีบปรึกษาแพทย์

            (4) ในระยะหลังของโรคนี้  คือ เมื่อพยาธิสภาพของปอดมีมากหลังจากที่เป็นมาหลายๆ ปีแล้ว เวลาเดินนิดหน่อยก็เหนื่อย  หรือเพียงแค่หวีผมให้ตัวเองก็เหนื่อยเมื่อถึงระยะนี้แพทย์จะแนะนำให้้ใช  ้ออกซิเจนขนาดน้อยๆ ช่วยในการหายใจตลอดโดยมีออกซิเจนไว้ใช้เองที่บ้านผู้ป่วย ซึ่งจะช่วยให้เหนื่อยน้อยละได้ ต่อมาอีกหลายเดือน หรือ หลายปี เมื่อโรคนี้เป็นมากขึ้นจนถึงระยะสุดท้ายจริงๆ   แพทย์ก็จะไม่อาจช่วยให้รอดชีวิตได้

 

 

ยังมีต่อนะครับ  

 

Hit Counter

มีอะไรแนะนำหรือติชมได้นะครับ
Webmaster: bullsek30@hotmail.com

 
 
Send mail to bullsek30@hotmail.com with questions or comments about this web site.